Home » ใต้หน้ากากคนดี (ที่แห่งหนึ่งที่สามารถซ่อนความชั่วได้แนบเนียนที่สุด คือซ่อนใต้ความดี)

ใต้หน้ากากคนดี (ที่แห่งหนึ่งที่สามารถซ่อนความชั่วได้แนบเนียนที่สุด คือซ่อนใต้ความดี)

ใต้หน้ากากคนดี (ที่แห่งหนึ่งที่สามารถซ่อนความชั่วได้แนบเนียนที่สุด คือซ่อนใต้ความดี)

เวลาที่เราพบใครครั้งแรกแล้วรู้สึกประทับใจ อาจจะเป็นเพราะเสน่ห์ อำนาจ บารมี ชื่อเสียงและความน่าเชื่อถือ หรือกระทั่งความดีงาม นั่นอาจจะเป็น “ภาพที่ถูกสร้าง” จากนักต้มตุ๋น (มิจฉาชีพ) ก็เป็นได้ ในบทความนี้จะเล่าในมุมที่เห็นในสังคมและในมุมของศาสนาไปด้วยกัน

ในช่วงนี้คนไทยน่าจะได้รู้จักกับนักต้มตุ๋น หรือไม่ก็นักตบทรัพย์ จากข่าวฉาวระดับประเทศกันไม่มากก็น้อย ตรงนี้เป็นปรากฏการณ์ที่น่าศึกษา เพราะการเปิดโปงวงการหรือผู้คนเหล่านี้ไม่ได้เกิดขึ้นได้ง่าย ๆ และเมื่อมันเกิดขึ้นแล้วก็มักจะมีผู้เสียหายจำนวนมหาศาล นั่นคือสภาพที่เรื่องมันเต็มจนล้นแล้ว มันจึงถูกเปิดเผยออกมา

เราจะได้เห็นว่าผู้ที่สร้างภาพว่าเป็นคนดี เป็นคนที่หลายคนเคารพ เกรงใจ ให้ความร่วมมือ กลับกลายเป็นคนชั่วสุด ๆ แบบจินตนาการไม่ออกเลยว่า ทำไมถึงชั่วได้ขนาดนี้ แต่เรื่องเหล่านี้ก็ยังเป็นเรื่องส่วนน้อยที่ได้รับการเปิดเผย หรือมีการเฉลยทั้งหมด

ในมุมของผมมองว่า ในวงการศาสนาและความเชื่อ ก็มีเรื่องเช่นนี้มากมายเหมือนกัน และมากมายเหลือเกินที่ความจริงถูกปิดเป็นความลับแม้กระทั่งผู้นำลัทธิล่วงลับไป ความจริงที่ว่ากลุ่มเหล่านั้นเป็นพวกต้มตุ๋นก็ยังไม่ได้รับการเปิดเผย บางเคสก็มาเรื่องแดงในผู้สืบทอดรุ่นถัดไป* แต่หลายเคสก็คิดว่าคงจะจมหายไปกับเวลา กลายเป็นตำนานที่ถูกแต่งให้เหมือนเรื่องจริงต่อไป

Ref : *ศึกษาเพิ่มเติม Keep Sweet: Pray and Obey (Netflix)

พฤติกรรมนักต้มตุ๋น

เวลาที่เราได้ยินว่ามีคนโดนหลอกไปลงทุนหรือหลงลัทธิต้มตุ๋น ก็คงนึกว่าไปโดนหลอกได้ยังไง ถ้าเป็นฉันก็คงไม่เชื่อ อะไรประมาณนี้ …แต่พฤติกรรมของนักต้มตุ๋น มักถูกจะออกแบบมาเพื่อหลอกคนเฉพาะกลุ่ม พวกเขามักจะพยายามสร้างความน่าเชื่อถือ สร้างความน่าศรัทธา

เช่นหาคนที่มีชื่อเสียง มีวุฒิการศึกษาสูง ๆ มาประดับบารมี พยายามพูดให้คนสนใจ ให้เข้ามาร่วมลงทุน มาร่วมขบวนการของเขา หรือกระทั่งการพยายามสร้างสถานที่ ที่ดูหรูหรา ยิ่งใหญ่ หรือวัตถุสิ่งของที่น่าเชื่อถือของกลุ่มเป้าหมาย ถ้าทั่วไปก็อาจจะเป็นรถหรู หรือในมุมของความเชื่อก็อาจจะเป็นวัตถุมงคล ในมุมของสถานที่ก็มักจะสร้างให้มันใหญ่ ๆ เอาไว้ล่อให้คนเข้ามาร่วมเยอะ ๆ ซึ่งเป็นวิธีคิดทั่วไปของนักต้มตุ๋น(อยากได้บริวารมาก ๆ) ซึ่งตรงข้ามกับแนวทางปฏิบัติของศาสนาพุทธ (ละเว้นความอยากได้บริวาร)

การต้มตุ๋นด้วยความเชื่อ ความดี อุดมการณ์และนิพพาน

ในมุมทั่วไปเขาก็มักจะโดนหลอกให้ลงทุนเพราะอยากได้เงิน แต่ในมุมของศาสนาและความเชื่อ คนบางกลุ่มอาจจะไม่ได้ต้องการเงิน แต่ต้องการบูชาความเชื่อที่เหมือนกับที่ตนเชื่อ บูชาความดีแบบที่ตนชอบ บูชาอุดมการณ์แบบที่ตนมุ่งหวัง และผู้แสวงหานิพพาน

เพื่อไม่ให้น้อยหน้านักลงทุนทั่วไป แน่นอนว่าแพคเกจต้มต๋นก็ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อตอบโจทย์คนกลุ่มนี้ด้วยเช่นกัน เพราะเม็ดเงินที่หมุนเวียนในกลุ่มก้อนความเชื่อและความศรัทธานั้นก็ไม่ใช่น้อย แถมยังถูกปกป้องด้วยกลุ่มผู้ศรัทธา และตรวจสอบได้ยาก ส่วนที่เห็นก็มักจะเห็นเมื่อเรื่องแดงแล้วเช่น พระเอาเงินที่มาจากความศรัทธาของผู้คนไปปรนเปรอผู้หญิง เป็นต้น แต่ส่วนใหญ่ก็เห็นไม่ได้ง่าย ๆ แต่ก็มองเห็นเค้าลางได้จาก อาณาจักรของกลุ่มลัทธิความเชื่อนั้น มีขนาด อาคาร ทรัพย์สินมากขึ้น ใหญ่โตขึ้นไปเรื่อย ๆ ซึ่งตรงนี้เอง จะเป็นจุดสังเกตว่าตรงข้ามกับแนวทางคำสอนของศาสนาพุทธ แต่ส่วนมากในไทยก็มักจะใช้ “ชื่อ” ของศาสนาพุทธเป็นตัวนำ แต่สิ่งที่ตามมาดูจะไม่ใช่ความผาสุกร่มเย็น ดูจะกลายเป็นลาภสักการะที่ล้นเหลือจนเอาไปใช้อย่างฟุ้งเฟ้อ สร้างสิ่งไร้สาระเสียมากกว่า หากรู้สึกกังขา ให้ลองคิดเปรียบเทียบกับศาสดาของพุทธอย่างพระพุทธเจ้า ที่ตอนจะตายก็ไม่มีแม้แต่วัดของตัวเอง มีแค่ก้อนหินให้นอนเท่านั้นเอง

ใต้หน้ากากคนดี

ขึ้นชื่อว่าความดี ใคร ๆ ก็ยินดีชื่นชม แต่ก็กลายเป็นว่าจุดที่ดูดีที่สุดอาจจะเป็นจุดที่คนชั่วเข้ามาแฝงตัวก็ได้ ช่วงนี้ก็มีข่าวคนดังที่มีภาพลักษณ์ที่พยายามช่วยเหลือมานาน ต่อมาเรื่องแดงก็มีคนแฉว่าความจริงแล้วเป็นพวกตบทรัพย์ หรือเคสคลาสสิกสมัยพุทธกาลก็เช่น พระเทวทัต ซึ่งก็บวชมาเป็นภิกษุในพระพุทธศาสนาด้วยเหมือนกัน จึงทำให้เห็นว่าชั่วที่สุดก็เข้ามาแอบอยู่ใต้ความดีที่สุดเพื่อแสวงหาผลประโยชน์ของตนได้นานแสนนาน นานจนแก่กันนั่นแหละกว่าเรื่องจะแดง กว่าจะถึงบทสรุป ต้องใช้เวลา พระเจ้าอชาตศัตรูก็โดนหลอกให้ฆ่าพ่อตัวเอง ไปเจอพระพุทธเจ้าทีหลังก็ช่วยให้บรรลุธรรมไม่ได้ พระเจ้าอชาตศัตรูก็เป็นเหยื่อนักต้มตุ๋นสมัยพุทธกาล คือเรื่องแบบนี้เขาโดนกันมานานแล้ว ปัจจุบันเสื่อมไปมากแล้วจะเหลืออะไร

ศาสดานักต้มตุ๋น

ปัจจุบันมีแนวทางปฏิบัติธรรมหลายแนวทาง และถ้าใครศึกษาหลากหลายกลุ่มมากเข้า จะยิ่งพบกับความแฟนตาซี จะขอเรียกสั้น ๆ ว่า “พุทธแฟนตาซี” หมายถึง การตีความการปฏิบัติของหลักศาสนาพุทธไปตามแนวทางของตน ซึ่งไม่ตรงกับการอ้างอิงในพระไตรปิฎกหรือตรงเพียงบางส่วน แต่ตีขลุมว่าตรงทั้งหมด

ที่เป็นแบบนั้น เพราะความจริงหลักปฏิบัติของศาสนาพุทธนั้น “เข้าใจยาก” พระพุทธเจ้าได้กล่าวถึงลักษณะพุทธธรรมไว้ 8 ข้อ สรุปเอาสั้น ๆ ว่า เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ยาก ทีนี้ต่างคนต่างความคิด ต่างภูมิธรรมมาศึกษากัน มันก็ตีความกันคนละอย่าง สุดท้ายก็จะได้ท่าไม้ตาย (วิธีปฏิบัติ) ตามที่ตนชอบมาสอนต่อ ก็มักจะยึดหลักนั้นเป็นท่าประจำสำนักโดยปริยาย ทั้ง ๆ ที่ในความจริงหากเราศึกษาจากพุทธประวัติ จะเห็นได้ว่ามีจังหวะการบรรลุธรรมที่หลากหลาย และส่วนใหญ่มักจะเป็นเหมือนลักษณะน้ำหยดสุดท้าย เช่นกรณีของพระอานนท์ ดังนั้นการปฏิบัติของผู้ที่มีบารมีเกือบเต็ม กับผู้ที่ยังใหม่อยู่จึงมีขั้นตอนที่ต่างกัน …แต่ใครจะรู้จริงล่ะ ว่าเป็นอย่างไร?

คนก็ได้แต่ทดลองกันไป แสวงหากันไป เจอคนที่จริงสอนถูกก็ดีไป เจอคนไม่ถูกแต่จริงใจก็หลงวนต่อไป แต่ถ้าเจอคนที่ไม่จริงใจ แม้จะสอนถูกหรือสอนผิด คำสอนเหล่านั้นมันก็จะถูกบิดเบี้ยวไปเรื่อย ๆ จะเริ่มเข้าเกณฑ์ผู้ถูกต้มตุ๋น เพราะอะไร? เพราะความถูกความผิดของหลักศาสนาส่วนหนึ่งอ้างอิงได้จากพระไตรปิฎก ดังนั้นการที่โจรจะสอนธรรมะถูกก็เป็นไปได้เหมือนกัน สมัยพุทธกาลพระเทวทัตยังแอ๊คท่าสอนได้เหมือนพระพุทธเจ้าได้เลย ดังนั้นเราจะเอาความถูกความผิดในหลักคำสอนมาตัดสินทั้งหมดไม่ได้ มันก็ต้องดูภาพรวมไปด้วย เช่น สอนให้มักน้อยกล้าจนไม่เอาอะไร แต่สุดท้ายสะสมลาภสักการะสร้างอาณาจักรใหญ่โตก็มี

สุดท้ายก็เลยกลายเป็นศาสดาใหม่ ที่อิงคำสอนจากศาสนาที่ตนชอบ แต่ปรับความหมายนิด เปลี่ยนภาษาหน่อย ให้พอได้เสพสมใจ ทีนี้พอคนหลงเชื่อก็กลายเป็นศาสดาคนใหม่บังพระพุทธเจ้า คือคำสอนตนใหญ่กว่าคำสอนพระพุทธเจ้าแล้ว คนเชื่อตนมากกว่าไปศึกษาพระไตรปิฎกแล้ว ตีความคำสอนเข้าข้างตัวเอง ยืดหยุ่นตามที่ตัวเองชอบ ไม่ยึดตามหลักธรรมวินัยอีกต่อไป ด้วยความไม่จริงใจเหล่านี้ จึงกลายเป็นศาสดานักต้มตุ๋นในที่สุด

เหลือบไรศาสนา

คนที่เกาะศาสนาหาผลประโยชน์มีมาตั้งแต่สมัยพุทธกาล แม้อีก 200 ปีต่อมา พระเจ้าอโศกมหาราชก็จัดการคัดออกไปเยอะ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะหมดไป แล้วมาในยุคนี้ใครจะหยุดยั้งความเสื่อมนี้ได้ ในเมื่อลาภสักการะมันหอมหวานขนาดนี้ บางคนอาจจะไม่ได้อยากได้เงิน ไม่ได้อยากเอาเงินไปปรนเปรอผู้หญิง แต่อาจจะอยากได้อำนาจ การยอมรับ การกราบไหว้ การที่เขาตั้งให้ตนเป็นที่พึ่ง เป็นความหวัง เป็นสิ่งศักดิสิทธิ์ แม้อาการเหล่านี้ก็ยังเป็นพวกที่แสวงหาผลประโยชน์โดยใช้ศาสนาเป็นเครื่องมือบำเรอตน

เราอาจจะรู้สึกว่าเราไม่มีวันหลงเชื่อหรอก แต่ในความจริงแล้ว เราอาจจะหลงไปแล้วตั้งแต่ต้น ตั้งแต่เกิดมาแล้วก็ได้ ศาสนาพุทธในวันนี้ไม่ได้เหมือนกับยุคพระพุทธเจ้า แม้แต่คำสอนหรือการปฏิบัติก็ไม่เหมือน บางทีเหมือนแค่เสี้ยวแต่ก็ตีว่าเหมือนทั้งแท่ง ที่เข้าใจกันว่าเป็นผู้ที่จะมาช่วยเหลือ สุดท้ายก็อาจจะเป็นแค่การตบทรัพย์ก็เป็นได้

*การตบทรัพย์ ทรัพย์ในที่นี้อาจหมายรวมถึง เงินทอง ที่ดิน ชื่อเสียง เวลา สุขภาพ แรงงาน ศรัทธา ศีล หิริ โอตตัปปะ พาหุสัจจะ จาคะ ปัญญา ฯลฯ

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *