Home » ตอนที่ 3/4 กลับไปเริ่มต้นกันใหม่

ตอนที่ 3/4 กลับไปเริ่มต้นกันใหม่

สรุปชีวิตช่วง 12 ปีที่ผ่านมา มีทั้งหมด 4 ตอน

ตอนที่ 3/4 กลับไปเริ่มต้นกันใหม่

หลังจากที่กลับมาศึกษาด้วยตนเอง ผมเริ่มพบว่า โจทย์จริง ๆ มันก็อยู่รอบตัวเรานี่แหละ อย่างเช่นครอบครัวที่อยู่กันมาตั้งแต่เด็ก ดูเผิน ๆ อาจจะไม่มีอะไร แต่ที่ใกล้ที่สุดก็ยากที่สุดนั่นแหละ

ที่ยากเพราะอะไร ที่ยากเพราะมันรัก มันผูกพัน มันก็มีอาการไม่ชอบใจเกิดขึ้นได้ง่าย ๆ เลย ปกติกับคนข้างนอกบ้านเราจะไม่ไปอะไรกับเขามาก เพราะไม่ใช่ญาติ ไม่ผูกพัน ไม่คาดหวัง คือไม่ได้รักกันนั่นแหละ ถึงจะอยู่รวมกันเป็นร้อยเป็นพัน แต่ถ้าไม่ได้รักไม่ได้ผูกพัน เราก็จะไม่ได้ให้ค่าอะไรมัน จะอยู่ก็อยู่ไป จะตายก็ตายไป ไม่สำคัญ ไม่เหมือนใกล้ตัวที่เรารัก ก็ปฏิบัติธรรมเพื่อให้เขาใจความจริงกับสิ่งที่รักที่เกลียดนี่แหละ จะเห็นตัวตนของตัวเองได้ชัดเจนที่สุด

ถ้าจะเปรียบให้เห็นภาพก็เช่น ตอนนี้เขาฮิตตุ๊กตา แต่เราไม่สนใจ ถึงมันจะดัง มีคนเอามาให้ เราก็วางไว้เฉย ๆ หายไปก็เฉย ๆ เพราะเราไม่ได้รักมัน ไม่ได้ผูกพัน แต่กับตุ๊กตาเน่า ๆ ที่ได้มาตั้งแต่เด็ก ๆ แม้จะเน่า จะขาด บางคนเขาก็ยังรัก เขาก็ต้องปฏิบัติธรรมกับสิ่งนี้ เพราะเขามีอุปาทานกับสิ่งนี้ เพราะเขายึดมั่นถือมั่นในสิ่งนี้

พอโจทย์ครอบครัวเริ่มเบา เราเริ่มไม่เอาแต่ใจมากเหมือนก่อนแล้ว โจทย์ใหม่ก็มา เป็นเรื่องที่เก็บเอาไว้ แต่ก่อนก็ว่าจะเอาไปศึกษาปฏิบัติหลังบวช เพราะตอนยังเป็นฆราวาส เขาก็ไม่บอก ไม่เล่า เล่าก็เล่าเผิน ๆ เป็นหลักการกว้าง ๆ บ้าง เป็นศรัทธาอันยิ่งยวดบ้าง ก็เคยคิดว่าบางเรื่องจะเก็บไว้ตอนบวชแล้วกัน

ที่นี้พอเลิกคิดจะบวช มันก็รู้สึกว่า พึ่งพาใครไม่ได้ ดู ๆ ไป ก็ไม่เห็นมีใครชัดสักคน ก็เลยเปลี่ยนใจเป็นลองศึกษาเอง ใช่ครับ…ไปมีคู่นั่นแหละ มันก็คิดเหมือนกันนะ ว่าเหมือนไปเอาน้ำลายที่ถ่มไปแล้วขึ้นมากินใหม่ ก็อวดดีไว้ซะเยอะเลย ทบทวนอยู่นานก็รู้สึกว่า ไหน ๆ ชาตินี้ก็ติดอยู่แถว ๆ นี้ ก็ลองขยับไปดู อาจจะไปต่อได้ หมายถึงเจริญไปตามลำดับน่ะนะ

ส่วนหนึ่งก็ต้องยอมรับว่าฐานผมเองอยู่ตรงนี้ ก่อนหน้านี้มันหลงมา มันคิดจะเอากิเลสที่เหลือไปพึ่งคนอื่นเขา ส่วนที่ทำได้ก็มีอยู่บ้าง แต่มันไม่ทั้งหมดไง มันก็เลยเอาใจไปฝากฝังคนอื่นเขา ทีนี้พอฝากไม่ได้ก็ต้องมาตัดสินใจเอง ว่า ณ จุดที่อยู่นี้ จะเอายังไง?

สรุปตอนนี้ผมก็แต่งงานไปเรียบร้อยแล้ว ตรงนี้ก็ต้องขอโทษผู้ที่เคยติดตามทุกท่าน ที่ผมทำไม่ได้อย่างที่อวดอ้างไว้ ว่าจะอยู่เป็นโสดเอย เป็นโสดอย่างมั่นใจเอย ไม่ต้องการชีวิตคู่เอย ฯลฯ วันนี้ผมสารภาพว่าผมทำไม่ได้ ผมยอมรับว่าเก่งสุดก็พยายามปฏิบัติตัวเป็นโสดได้เท่านี้ น่าจะราว 6-7 ปี ก่อนหน้านี้ก็มีคนผ่านมาอยู่บ้าง แต่ตอนนั้นมันมีเป้าหมายยิ่งใหญ่ มันก็เลยไม่คิดมาก ตอนนี้เป้าหมายมันเปลี่ยนไปมันก็คิดอีกแบบ (ก่อนนี้มันมองดวงดาว ตอนนี้มองบันไดขั้นต่อไป)

ก็ใช่ว่าผมไม่เคยมีคู่นะ เคยมีแฟนอยู่เมื่อราว ๆ 10 ปีก่อน แต่พอเทียบกับตอนนี้ สมัยก่อนนี่เป็นซาตานเลย การควบคุมอารมณ์ ความเห็นอกเห็นใจคนอื่น ความปล่อยวางไม่ถือสาก็เทียบไม่ได้กับตอนนี้ …ที่เล่ามาเหมือนว่าจะดี? แต่ไม่ใช่เลย

พอได้ลองกลับมามีคู่ก็ค้นพบความจริงอีกว่า เรายังมีโจทย์ที่ยังไม่ผ่านอีกตั้งเยอะ แต่ก่อนจินตนาการไปเองก็เหมือนจะไม่ทุกข์ แต่พอกระทบเข้าจริง ๆ มันก็มีทุกข์อยู่เหมือนกัน ความสงสัย ความไม่ได้ดั่งใจ ความไม่เข้าใจ ฯลฯ อารมณ์พวกนี้เหมือนจะเล็ก แต่มันใหญ่ สุดท้ายผมก็เข้าใจว่านี่แหละ คือจุดที่ยังไม่พ้นไป คือมันยังไม่ผ่าน มันก็ต้องกลับมาศึกษา อย่างที่พระพุทธเจ้าเรียก ว่า เสขบุคคล คือผู้ที่ยังต้องศึกษาอยู่

แล้วที่นี้จะศึกษาจากไหน ก็ศึกษาจากความจริงของเรา ณ ปัจจุบันนี่แหละ ให้เจริญไปตามลำดับ ทางนี้มันยังไปได้ มันไม่ตันเหมือนแต่ก่อน จากที่ผมได้ศึกษาเพิ่มเติมจากสมชีวิสูตร ในมุมของการอยู่เป็นคู่ที่มีคุณธรรม ก็ดูเหมือนผมจะยังไม่ไปถึงจุดสูงสุดของการอยู่เป็นคู่ หมายถึงคุณธรรมที่ผมมียังไม่เท่ากับคู่ชายหญิงในพระสูตรนั้นเลย ผมก็เลยตั้งใจว่าจะปฏิบัติธรรมให้ได้อย่างพวกเขาก่อน แล้วค่อยว่ากันครับ

จริง ๆ ก็เหมือนรีสตาร์ท โจทย์เก่ามาเล่นใหม่อีกครั้ง ให้มันดีกว่าเดิม เพราะความสัมพันธ์ก่อนหน้านี้มันผ่านมาแบบถูลู่ถูกัง มันผ่านมาด้วยเวลา แต่มันไม่ได้ผ่านด้วยความเข้าใจในธรรม มันก็เลยต้องวนเวียนไปเริ่มใหม่

ติดตามเนื้อหาทั้งหมดในบทความชุดนี้ได้ใน…

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *